วิว World War Z: Aftermath เกมเดิม เพิ่มเติมของใหม่ เร้าใจด้วยมุมมอง FPS

World War Z: Aftermath เกมดังกล่าวเปิดตัวมานานกว่าสองปีและไม่มีใครคาดคิด ผู้พัฒนาจะทำการอัปเดตและดูแลเกมต่อไป จนกระทั่งมาถึงแพ็กเสริมขนาดใหญ่ของเกม ด้วยซอมบี้ที่ครองโลกอย่างต่อเนื่องด้วยจำนวนมหาศาล Aftermath จะพาผู้เล่นเดินทางไปยังอีกสองประเทศเพื่อเอาชีวิตรอดและรับมือกับภัยพิบัติ ส่วนเสริมใหม่อย่าง Aftermath จะคุ้มหรือไม่? วันนี้เรามาดู World War Z: Aftermath และขอย้ำว่า World War Z: Aftermath ไม่ใช่เกมใหม่ ไม่ใช่ชื่อใหม่ แต่ Aftermath เป็นเนื้อหาที่ดาวน์โหลดได้เพียงเนื้อหาและส่วนเสริมของเกมหลักเท่านั้น
ใครที่เคยเล่น World War Z มาก่อนจะรู้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกมนี้ ไม่ใช่เส้นตรงที่สร้างจากนวนิยายต้นฉบับของ Max Brooks เหตุการณ์ใน World War Z ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน แต่โลกทั้งใบถูกทำลายโดยการบุกรุกของซอมบี้ เกมจะดำเนินต่อไปในทำนองเดียวกัน การมาถึงของส่วนเสริม Aftermath จะเพิ่มเนื้อหาเป็นสองตอน: Rome of Italy Kamchatka แห่งรัสเซีย Kamchatka จะเป็นภาคต่อของตอนที่ 4 ของญี่ปุ่น

Story World War Z: Aftermath

World War Z: Aftermath ปัญหาของการเล่าเรื่องแบบไม่ต่อเนื่องแบบนี้คือมันเคารพนิยายต้นฉบับ แต่เมื่อมาในรูปแบบเกม มันทำให้ผู้เล่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิยายเรื่องนี้ และฉันไม่รู้สึกว่ามีส่วนร่วมในกิจกรรมเกมเลย ทำให้เหมือนเกมตัวเต็มที่มีรอบและด่านมากกว่า และในแต่ละประเทศจะมีกลุ่มผู้รอดชีวิตที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมีพื้นหลังเป็นของตัวเองพร้อมวิดีโอแอนิเมชั่นสั้น ๆ น่าเสียดายที่หากคุณทำได้ดี เนื้อเรื่องของเกมจะน่าสนใจ แต่เนื่องจากความเคารพในนวนิยายต้นฉบับและความหลากหลายของเกมที่มีฉากในหลายประเทศ การเล่าเรื่องจึงด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่คงไม่มีใครอยากซื้อ World War Z มานั่งอ่านสนุกอยู่ดี เมื่อไฮไลท์ตั้งแต่เกมออกยิงซอมบี้ฝูงใหญ่อยู่แล้ว

ดังที่ได้กล่าวไว้ในส่วนของเนื้อเรื่อง ใน World War Z เราจะเล่นฉากที่แตกต่างกันในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่ในส่วนของ Aftermath DLC มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่เราสามารถเล่นได้คือกรุงโรม ประเทศอิตาลี และคัมชัตกาของรัสเซีย ที่น่าสนใจคือเป็นภารกิจรูปแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมอื่นๆ ยกตัวอย่างการเข็นรถก็คล้ายๆกับการกดของใน Overwatch แต่อันนี้จะมีซอมบี้ฝูงใหญ่มารุมเราทุกทิศทุกทางแทน หรือในคัมชัตกาของรัสเซียอันหนาวเหน็บ และผู้เล่นจะต้องเดินหน้าต่อไปพร้อมกับหาฮีตเตอร์มาทำให้ร้อนขึ้น เป็นความพยายามที่แปลกใหม่ของ World War Z ครับ คือเอกลักษณ์ดั้งเดิมยังอยู่ครบ เช่น เปลี่ยนเกมเป็นแนวป้องกันหอคอยเล็กน้อยในบางจังหวะที่สำคัญ ที่เราต้องหาแผงไฟฟ้า หาป้อมปืน เพื่อจัดการกับฝูง Swarm ที่จะแห่กันขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด เป็นต้น

ยังมีภารกิจแปลกๆให้เราวิ่งเสิร์ฟไอเทมให้ NPC ท่ามกลางฝูงซอมบี้ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายไม่น้อย เพราะแม้จะเล่นในระดับที่ง่าย แต่ถ้าขาดการสื่อสารและรู้ว่าต้องทำอะไรในฉากนั้น เราอาจเสียเวลา เสียไอเทมมากกว่าที่ควร แม้ว่าภายนอกของเกมจะดูเหมือนเกมยิงซอมบี้สุดเดือดแต่ระบบในเกมเองก็ต้องอาศัยทีมเวิร์คไม่น้อยเช่นกัน

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจของ Aftermath คือการมาของมุมมอง FPS ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้กับเรามากยิ่งขึ้น แต่ขอบอกว่าอย่าคาดหวังมาก เพราะเหมือนตัวเกมไม่ได้ตั้งใจใส่มาแต่แรก พอหาวิธีใส่ ก็ทำง่ายๆ เป็นฟังก์ชั่นเปิด-ปิดด้วย Setting และถึงเราจะเล่นมุมมอง FPS เราก็ทำไม่ได้ เข้าไปในกระบอกปืนหรือ Aim Down Sight หรือแม้แต่ Iron Sight ไม่สามารถยกปืนขึ้นเล็งได้ มุมมอง FPS ของเกมนี้ เมื่อคลิกขวาจะเป็นการซูมหน้าจอเข้าไปใกล้แทน คล้ายกับเกม Left 4 Dea ที่อาจถูกยกมา นอกจากนี้ยังทำให้เกิดปัญหาในการเล่น เช่น ฉันไม่เห็นซอมบี้ที่อยู่ข้างหลังฉัน หรือไม่เห็นวัตถุบางอย่างที่สลับไปมาตลอดเวลาในบางฉาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ แม้จะออกมาไม่ดีนัก แต่การเผชิญหน้ากับซอมบี้จำนวนมหาศาลด้วยมุมกล้อง FPS World War Z น่าจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเกมยิงซอมบี้เกมอื่น

และคลาสใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ Vanguard ซึ่งเป็นคลาสใหม่ของเกมที่เพิ่มเข้ามา ด้วยความสามารถในการกางโล่ไฟฟ้าแล้วพุ่งเข้าใส่เพื่อฝ่าฝูงซอมบี้ ในตัวอย่างอาจจะดูเท่ แต่ใช้งานจริงไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เนื่องจากมีโอกาสน้อยมากที่จะใช้ทำให้คลาสนี้เป็นที่นิยมน้อยลง คนยังกลับไปเล่นคลาสเก่าๆ อย่าง Gunslinger, Medic

นอกเหนือจากการเพิ่มโหมดเนื้อเรื่องสองโหมดแล้ว โหมดอื่นๆ เช่น โหมด Horde หรือโหมดผู้เล่นหลายคนจะไม่เพิ่มเนื้อหาใหม่ใดๆ เมื่อเล่นในระดับความยากง่าย Aftermath DLC อาจใช้เวลาในการทำส่วนย่อย 2 ตอนที่ 6 ให้เสร็จ ในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น โดยดูจากราคา 269 บาท (สำหรับผู้ที่มีตัวเกมอยู่แล้ว และซื้อตัวอัพเกรดบน Epic Games Store) แถมได้มุมมอง FPS และเพิ่มคลาสใหม่ Vanguard ก็คุ้มเกินราคา

แต่สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดของเกมนี้คือไม่ค่อยมีใครรู้จักโหมดผู้เล่นหลายคนหรือโหมดออนไลน์เท่าที่ควร โหมดนี้แบ่งออกเป็นโหมดที่คุ้นเคยอีกมากมายเช่น Team Deathmatch, Scavenge Raid, Vaccine Hunt เป็นต้น ปัญหาคือคนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ และเล่นอีกโหมดหนึ่งคือ King of the Hill อธิบายง่ายๆ โหมดนี้เป็นโหมดจับจุด เพื่อทำแต้มให้ทีมเราต่อไป แต่ความลุ้น อยู่ที่การคว้าแต้มนี้ให้ได้ จะมีฝูงซอมบี้มารบกวนทั้งทีมเราและทีมศัตรู ทำให้เกมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในการเล่น และการเล่นโหมดผู้เล่นหลายคนนี้จะมีระบบคลาสแยกจากโหมดเนื้อเรื่องอีกที เป็นโหมดที่คนไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าที่ควร ไปกับความสนุกของมัน และการมาของเกมนี้ในเวอร์ชั่น Steam ก็ไม่ได้ทำให้มีคนเล่นมากขึ้นเท่าที่ควร

Aftermath เป็นส่วนเสริมที่ไม่ได้ยกระดับมาตรฐานของเกมเลย เป็นเพียงเนื้อหาใหม่ที่เพิ่มฉากใหม่ ใครที่คิดว่าจะดูดีกว่านี้คงต้องลดความคาดหวังลงหน่อย แต่อย่างน้อยความสนุกมาตรฐานก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

Gameplay

World War Z จะมีรูปแบบการเล่นคล้ายกับเกมยิงซอมบี้เกมอื่นๆ จบรอบและนำรางวัลที่ได้รับมาอัปเกรดความก้าวหน้าของตัวละคร คลาส และอาวุธของเรา

ส่วนเสริมสำหรับการเล่นเกม So Aftermath จะไม่แตกต่างกันมากนัก สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือคุณสมบัติภารกิจใหม่ การมาของคลาสใหม่อย่าง Vanguard อาจทำให้ทีมของเราสามารถจัดการกับฝูงซอมบี้ได้ดีขึ้น ด้วยความสามารถในการเปิดโล่ฝ่าฝูงซอมบี้ และยิ่งอัพเกรดสกิลในภายหลังยิ่งทำให้ความสามารถของโล่สูงขึ้นไปอีก สิ่งที่คลาสนี้โดดเด่นกว่าคลาสอื่นคือมันเคลื่อนผ่านฝูงซอมบี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในบางฉากก็สามารถทำภารกิจได้ง่ายขึ้นเช่นกันเพราะต้องเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แต่ข้อดีแบบนี้ก็อาจมีข้อเสียได้เช่นกัน เพราะถ้าผ่านไปเราไม่รอดแน่ เราจะถูกซอมบี้รุมซะเอง เพื่อนยากต้องช่วยเราอีก

รูปแบบการเล่นใหม่ที่เห็นได้ชัดคือการเข็นรถคล้ายๆ Payload แม้ว่าระหว่างทางจะมีกระสุนให้เก็บบ้าง แต่ถ้ายิงแบบไม่ยั้ง กระสุนอาจหมดซะก่อน ทำให้คลาส Fixer ยังคงมีบทบาทสำคัญ หรือปล่อยให้คลาส Hellraiser กวาดล้างซอมบี้ต่อไป ใครเล่นเกมนี้มาตั้งแต่ต้นเกมจะรู้ว่าศัตรูไม่มีความน่ากลัวเลย แต่ความตึงเครียดของเกมนี้จะอยู่ที่ฝูง Swarm ซึ่งเป็นสภาพที่เราต้องเจอแทบทุกฉาก ไม่มีแม้แต่สองฉากใหม่ โรมและคัมชัตกา

ฝูง Swarm นั้นเราจะต้องร่วมมือกับทีม นำเครื่องป้องกันต่าง ๆ มาติดตั้งในพื้นที่ แล้วรอตั้งรับกับฝูงซอมบี้ “มหึมา” เหมือนในหนังที่จะเข้ามา นี่คือสิ่งที่เราต้องพยายามรับมือ เพราะหากปล่อยให้ซอมบี้ตกอยู่ในคลื่น เกมอาจพังได้ หรือถ้าใครเดินออกมาจากทีมนิดเดียวแล้วเจอ Special Zombie ล่ะก็ ยากแน่นอน แต่ถึงเวลาเล่นจริง การทำงานเป็นทีมสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะในส่วนของ Side Story อย่าง Kamchatka และ Rome

นั้นจะไม่กล่าวถึงเลย สำหรับส่วนเสริมนี้คือศัตรูตัวใหม่คือ Great Rats

เมื่อจบแต่ละรอบเกม เราจะได้ class EXP และเงินเมื่อจบเกม เงินนั้นสามารถใช้เพื่อปลดล็อกทักษะอาชีพใหม่ ทำให้อาชีพนั้นดีขึ้น สกิลจากคลาสไหนจะถูกปลดล็อคจากการอัพเลเวลของเรา ท้ายที่สุด เมื่อระดับชั้นเรียนสูงขึ้น ผู้เล่นในเกมจะเพิ่มความท้าทายด้วยการเล่นในระดับความยากที่สูงขึ้น ปืนยิ่งใช้ยิ่งปลดล็อกอุปกรณ์เสริมใหม่ทำให้ปืนมีพลังมากขึ้นเช่นกัน

Performance

ในฐานะ DLC ประสิทธิภาพของเกมไม่แตกต่างจากต้นฉบับมากนัก โดยปกติแล้ว World War Z เองก็ไม่ใช่เกมที่มีปัญหาด้านประสิทธิภาพแต่อย่างใด แต่การมาของ Aftermath ด้วยมุมมอง FPS เกมเพิ่มตัวเลือกให้ปรับขนาดหน้าจอในมุมมอง FPS ซึ่งแยกจากส่วน FOV ใครที่รู้สึกว่าหน้าจอมุมมอง FPS มันแคบไปก็ปรับได้

การมาของ DLC นี้ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของเกมลดลง และในฉากที่ซอมบี้จำนวนมากออกมาพร้อมๆ กัน คอมพิวเตอร์สเปกกลางๆ ก็ยังสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหล และมีตัวเลือกปรับแต่งกราฟิกค่อนข้างมาก ทำให้เราสามารถปรับแต่งเกมให้รันบนคอมพิวเตอร์ได้หลากหลาย

สุดท้าย อย่าลืมว่า World War Z ไม่ใช่เกมใหม่ ที่สำคัญคือแจกฟรีบน Epic Games Store เรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับประสิทธิภาพของเกมนั้นเชื่อถือได้และไร้กังวลอย่างแน่นอน และตอนนี้ตัวเกมก็เปิดให้เล่นบน Steam ในอีกช่องทางหนึ่งแล้ว และตอนนี้ ตัวเกมอาจจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบในแง่ของประสิทธิภาพของเกม ใครที่กำลังมองหาเกมยิงซอมบี้มันส์ๆ เล่นเพลินๆ ไม่ต้องคิดมากเกมนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีครับ และคงต้องรอดูเกมแนวเดียวกันอย่าง Back 4 Blood ที่กำลังจะมาในเดือนหน้า