รีวิว Octopath Traveler II การกลับมาของตำนาน RPG ที่ไม่ควรพลาด

Octopath Traveler เป็นหนึ่งในเกมกราฟิก HD-2D ดั้งเดิมที่วางจำหน่ายสำหรับ Nintendo Switch ก่อนที่จะมาถึงพีซีและ XBox one กลยุทธ์สามเหลี่ยมและ Dragon Quest 3 Remake ที่กำลังจะมาถึง

ในส่วนกราฟิก HD-2D ถือเป็นวิธีการนำกราฟิก 2D แบบพิกเซลมาเป็นความละเอียดระดับ HD และเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ เช่น แสงและเงาที่สวยงามเหมือนเกมสมัยใหม่ การกลับมาของ Octopath Traveler II คือการสานต่อความสำเร็จของซีรีส์ RPG ยุคใหม่ที่มีพื้นฐานจากเกมเพลย์ต้นฉบับ วางจำหน่ายบน Nintendo Switch, PS4, PS5 และ PC พร้อมกัน

ความโดดเด่นอย่างแรกของซีรีส์คือเรื่องราวที่ส่วนนี้ได้เข้าสู่ยุคใหม่ เพราะในฉากจะมีรถไฟของยุคคาวบอย แต่มีดินแดนแห่งซามูไร ทำให้ดูผสมผสานวัฒนธรรม แม้แกนกลางๆ จะยังดูเป็นยุคกลางโดยมีโลกแฟนตาซีเป็นฉากหลัง ทำให้ดูแปลกตากว่าภาคที่แล้ว แม้ว่าดีไซน์ส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม

เรื่องราวนี้เล่าผ่านตัวละครหลักแปดตัว ได้แก่ นักรบผู้ยิ่งใหญ่ Hikari Ku, นักเต้น Agnea, พ่อค้า Partitio, ปราชญ์ Osvald, มันสมองของทีม, หัวขโมยบัลลังก์, นักล่า Ochette และ Castti เภสัชกร ผู้มีจิตใจงดงาม และ Temenos นักบวชผู้เคร่งขรึม แม้เรื่องราวจะเล่าผ่านกราฟิกแบบพิกเซล ไม่มีคัตซีนสวยงามที่เล่าผ่านตัวละครและเสียงพากย์ แต่เนื้อเรื่องถือว่าเข้มข้นมาก และมีผู้ใหญ่ไม่เหมาะกับเด็ก แน่นอน การอ่านและการฟังคำบรรยายจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษอยู่บ้าง

กราฟิกดูดีเหมือนเดิม Octopath Traveler II

ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว จุดแข็งของ Octopath Traveler คือกราฟิก HD-2D เนื่องจากเป็นหนึ่งในเกมแรก ๆ ที่ใช้การออกแบบภาพในเกมที่ผสมผสานศิลปะพิกเซลแบบคลาสสิก ด้วยความคมชัดระดับ HD และยังทำหน้าที่ของมันได้ดี แม้ว่าจะดูไม่ดีขึ้นและไม่สดเหมือนตอนที่เปิดตัวก็ตาม เพราะใช้มาหลายเกมแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเดิมยังคงมีอยู่ เพราะบน Nintendo Switch หากเล่นแบบพกพา กราฟิกจะดูยากโดยเฉพาะเวลาอ่านเมนู ฟอนต์อาจจะเล็กไปนิดนึง และเล่นกับแสงเงาของฉาก ทำให้ผู้เล่นมองไม่เห็นไอเทมที่ซ่อนอยู่ ดังนั้นบางทีการเล่นบนทีวีน่าจะดีกว่า รุ่นอื่นไม่มีปัญหา

แต่ความดีงามของซีรีส์ Octopath Traveller ที่ภาค 2 ยังมีคือเพลงประกอบที่ออกมาดี มีเพลงดีติดหู มีธีมเกมที่แฟนประจำจำได้ แม้แต่เพลงประกอบในฉากต่อสู้ก็น่าตื่นเต้นผสมผสานกับเกมสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว แน่นอนว่าเสียงพากษ์ยังคงคุณภาพอยู่มาก ทำให้การเล่าเรื่องดำเนินไปได้ด้วยดีที่มีจุดเด่นตั้งแต่ภาคแรก

เกมเพลย์เหมือนเดิมแต่สนุกกว่าเดิม

รูปแบบการเล่นไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงใช้ RPG แบบผลัดกันเล่นแบบเทิร์นเบสคลาสสิก ไม่ใช้เวลาจริง ทำให้เรามีเวลาคิดและตัดสินใจ ซึ่งอาจฟังดูซ้ำซากเพราะเกมกระแสหลักในปัจจุบันไม่ค่อยมีใครใช้ แต่ด้วยกระแสย้อนยุคที่มาแรงทำให้ภาคแรกประสบความสำเร็จขายดี ซึ่งความโดดเด่นของมันไม่ได้มีแค่ความสนุกอย่างเดียว

เพราะจุดเด่นอีกอย่างคือความเร็ว เพราะปกติแล้ว เกมแบบนี้มักจะช้า เพราะต้องรอตัดเข้าฉากต่อสู้ก่อนจึงจะรอเข้าคำสั่งได้ ที่เกมเมอร์ทุกวันนี้ต้องการอะไรที่รวดเร็ว ทำให้มันดูเชย จนครีเอเตอร์บางคนเมิน แต่สำหรับซีรีส์ Octopath Traveller นั้นต่างออกไปเพราะมีความเร็วในการเล่นที่สูงมาก เช่น การตัดเข้าฉากต่อสู้อย่างรวดเร็ว ในฉากต่อสู้เมื่อเราออกคำสั่งตัวละครจะทำความเร็วสูงจนไม่รู้สึกเบื่อเลย

ระบบต่อสู้สนุก มีอิสระในการเล่น

จุดเด่นของเกมคือการดึงจุดเด่นของเกมเพลย์เดิมที่คนดูให้โดดเด่น อย่างแรกคือการคิดแผนในการรบที่มีมากมายไม่ว่าจะเป็นการหาจุดอ่อนของศัตรู เพราะมันมีทางแพ้ เช่น แพ้อาวุธ หรือธาตุที่เมื่อผู้เล่นใช้ถูกจะทำให้ศัตรูมึนงงจนแพ้เทิร์น สำหรับจุดเด่นของซีรีส์ที่เป็นการรวบรวมพลัง BP เพื่อให้โจมตีได้หลายคอมโบนั้นยังคงอยู่ และใช้ร่วมกับอัลติเมทด้วยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ซึ่งกลเม็ดทั้งหมดหากเราวางแผนให้ดีก็สามารถเอาชนะได้ไม่ยาก และจำเป็นด้วยเพราะตัวเกมมีความท้าทายพอสมควร แต่ก็ไม่ยากเกินไปหากเรียนรู้ระบบและอัพเกรดตัวละครอย่างเหมาะสมก็จะผ่านไปได้ ส่วนระบบอัพเกรดแม้จะไม่ใหม่แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก และมีประสิทธิภาพเริ่มต้นที่ระบบเลเวลที่ต้องเก็บค่าประสบการณ์เหมือนเกมทั่วๆ ไป และยังเสริมด้วยการอัพเกรดสกิลใหม่ที่เพิ่มท่าไม้ตายพิเศษ

ส่วนฉากในเกมแม้จะล็อคมุมกล้องไว้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ และรูปแบบการเล่นเหมือนเกม 2D แต่ฉากในเกมดูซับซ้อนกว่าเกม 2D ทั่วไป เพราะความลึกของฉาก ยังมีไอเทมซ่อนอยู่อีกมากมาย หากอยากได้ของเทพก็ต้องหมั่นสำรวจ และยังมีระบบเปลี่ยนกลางวันและกลางคืนทันที ซึ่งจะส่งผลต่อเนื้อเรื่องอีกด้วย ข้อดีที่ทำให้เกมไม่เชยคือผู้เล่นมีอิสระที่จะเลือกเดินทางตามใจชอบ จะเดินทางไปทำเนื้อเรื่องที่ไหนก่อนก็ได้แต่ฉากจะแบ่งตามเลเวล ถ้าจะไป ต้องเลเวลสูงพอไม่งั้นสู้ศัตรูไม่ได้

Octopath Traveler II เป็นเกม AAA สุดมันส์ที่แม้รูปแบบการเล่นจะล้าสมัย แต่กราฟิกก็ไม่ได้อัพเกรดจากภาคก่อนๆ แต่ความสนุกยังคงเต็มไปด้วยเกม RPG แบบเทิร์นเบส คอมมานเดอร์ความเร็วสูง ควบคู่ไปกับการวางแผนที่ต้องใช้ความคิด รวมถึงเนื้อเรื่องสุดเข้มข้นใครที่ชอบภาคแรกห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะยังสนุกเหมือนเดิม. หรือใครอยากลองความมันส์แบบคลาสสิกก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน

บทความแนะนำ

Star Wars